
พื้นฐานของสุขภาวะทางเพศ : สอนลูกเข้าใจ "สิทธิร่างกายตัวเอง" ตั้งแต่วัยเด็ก
สิทธิร่างกายคือพื้นฐานของสุขภาวะทางเพศ
พ่อแม่ควรแสดงภาษารักให้ลูกรับรู้ทุกวัน นอกจากการกอดและบอกรักแล้ว ยังมีการสื่อสารที่สามารถสื่อถึงความรักและความเอาใส่ใจลูกได้ หมอขอเรียกการสื่อสารแบบนี้ว่า "ภาษารักแบบยั่งยืน"
ภาษารักแบบยั่งยืน คือคำพูดหรือท่าท่างที่พ่อแม่ตอบสนองต่อพฤติกรรมหรือคำพูดของลูก ที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจ, การเอาใส่ใจของพ่อแม่ และการชื่นชมยินดีในสิ่งที่เป็นตัวตนของลูก ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
ภาษารักแบบยั่งยืน 3 แบบ
❤︎ ภาษารักแบบชื่นชม ❤︎
เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมที่ดีหรือแม้แต่ความคิดต่าง ๆ ที่เข้าท่า พ่อแม่ควรชื่นชมคุณลักษณะที่ดีเหล่านี้ นอกจากลูกจะภาคภูมิใจในตนเองแล้ว เขายังรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า รับรู้ว่าพ่อแม่มองเห็นตัวตนดี ๆ ของเขา ถือเป็นภาษารักที่พ่อแม่สามารถทำได้ทุกวัน
พ่อแม่ก็ควรชื่นชมให้ถูกต้องด้วยนะคะ ต้องบรรยายพฤติกรรมดี ๆ หรือความคิดที่เข้าท่านั้นออกมา โดยต้องชมลูกตามความจริงด้วยความจริงใจด้วยค่ะ เช่น “แม่ภูมิใจที่ลูกแบ่งของเล่นให้น้อง” หรือ “ลูกน่ารักมากที่มาทันทีตอนแม่เรียกอาบน้ำ” หรือ “แม่ชื่นใจ.. ที่ลูกมีน้ำใจกับเพื่อน” ซึ่งลูกได้ทำพฤติกรรมเหล่านั้นจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม การชื่นชมก็ยังมีจุดอ่อน เพราะมีการตัดสินเด็ก หมายความว่า ถ้าเราชมลูกว่า “เก่งที่กินข้าวหมด” มองอีกมุมหนึ่ง ถ้าลูกกินไม่หมดก็แปลว่าลูกไม่เก่ง หรือ “แม่ภูมิใจที่ลูกแบ่งของเล่นให้น้อง” ถ้าลูกไม่แบ่งของเล่นให้น้อง แม่ก็ไม่ภูมิใจซินะ ซึ่งอาจทำให้เด็กรู้สึกกดดัน ดังนั้น พ่อแม่จึงควรพูดภาษารักให้ครบทั้ง 3 แบบ อย่าแสดงภาษารักด้วยการชื่นชมเพียงอย่างเดียว
❤︎ ภาษารักแบบแสดงอารมณ์ร่วม ❤︎
ภาษารักลักษณะนี้ มีข้อดีตรงไม่มีการตัดสินลูก พ่อแม่จะต้องใส่ใจลูกในช่วงเวลาที่คุยกับเขาหรือทำกิจกรรมด้วยกัน ถึงจะสื่อสารออกมาได้ เช่น เมื่อลูกเล่าเรื่องที่โรงเรียน พ่อแม่ต้องตั้งใจฟัง จึงสามารถตอบสนองออกมาว่า “อ๋อ แม่เข้าใจแล้ว” หรือ “จริงด้วย หนูเคยบอกเพื่อนแบบนั้นไปแล้ว” ไม่ควรนิ่งเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เพราะลูกจะคิดว่าเรื่องของเขาไม่สำคัญ ภาษารักรูปแบบนี้ ไม่ยากเท่าไร ขอเพียงพ่อแม่ต้องใส่ใจในบทสนทนานั้นจริง ๆ ลูกถึงจะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญของพ่อแม่
เทคนิคที่หมอแนะนำก็คือ พ่อแม่ต้องเอาใจตนเองไปอยู่ในใจของลูกเวลาที่ลูกพูดหรือทำอะไรค่ะ เราต้องวางมือถือลง ไม่สนใจอย่างอื่น ขอยกตัวอย่างกรณีที่ลูกไม่ได้พูดอะไร เป็นเหตุการณ์ตอนลูกเล่นต่อไม้บล็อค สีหน้าลูกแสดงอารมณ์บางอย่าง พ่อแม่ที่รู้สึกร่วมกับลูกจริง ๆ จะสามารถตอบสนองออกมาได้ เช่น “โอ้ว ๆ ๆ ต่อสูงมากกก” เมื่อพ่อแม่รู้สึกตื่นเต้น ตรงกับที่ลูกกำลังรู้สึก อารมณ์ร่วมจะทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
ภาษารักชนิดนี้ก็ไม่มีการตัดสินลูกเหมือนกัน แต่จะยากกว่าภาษารักแบบแสดงอารมณ์ร่วมตรงที่พ่อแม่ต้องพยายามอ่านความรู้สึกของลูกและพูดสะท้อนออกมา เช่น ลูกร้องไห้เพราะเพื่อนไม่แบ่งขนม แม่ที่เข้าใจจะพูดว่า “แม่รู้...ที่ลูกร้องไห้ก็เพราะเสียใจที่อดกินขนม” หรือ “แม่รู้ว่าลูกโมโหขนาดนี้ เพราะอดทนกับน้องมาตั้งแต่เช้า” ซึ่งต่างจากคำสอนหรือคำปลอบใจ เช่น “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกินก็ได้ เราไปเล่นอย่างอื่นแทนนะ”
ภาษารักแบบเข้าใจ ทำให้ใจลูกเชื่อมโยงกับใจพ่อแม่ ลูกรู้สึกสบายใจเพราะมีคนเข้าใจ ต่างจากคำสอนหรือคำปลอบที่ลูกรู้สึกสบายใจที่ปัญหานั้นถูกแก้ไข แต่ไม่รู้สึกว่าถูกเข้าใจ หากพ่อแม่สามารถแสดงภาษารักแบบเข้าใจได้ ลูกจะกล้าพูดคุยเรื่องความรู้สึก ไม่ต้องเก็บกด ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กโตต้องการจากพ่อแม่มาก
เราจะเห็นว่า การแสดงภาษารักแบบยั่งยืนนี้ พ่อแม่จะต้องอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ กับลูก เข้าใจลูกและสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน พ่อแม่ที่มีเวลาอยู่กับลูกน้อย มักแสดงภาษารักแบบนี้ไม่ค่อยได้ ดังนั้น เราต้องมีเวลากับลูกให้มากขึ้นนะคะ
ภาษารักแบบยั่งยืน ทำได้ทุกวันไม่มีคำว่า "สปอยล์" ยิ่งสะสมเป็นต้นทุนมากแค่ไหน ลูกก็ยิ่งรู้สึกเป็นคนสำคัญของพ่อแม่ และหากบังเอิญมีวันที่ทะเลาะกันรุนแรง ก็ไม่ต้องกลัวเพราะต้นทุนที่สูงจะทำให้ความสัมพันธ์ที่เสียหายนั้นไม่รุนแรง
...“อย่ามุ่งสร้างวินัยจนลืมแสดงภาษารักแบบยั่งยืนทุก ๆ วัน”...