42
ความรู้ที่ควรมีเมื่อ “ลูกกินยาก”

ความรู้ที่ควรมีเมื่อ “ลูกกินยาก”

โพสต์เมื่อวันที่ : November 15, 2021

หากคุณพ่อคุณแม่ยังคอยตามป้อน ลูกจะไม่มีโอกาสลงมือกินเอง และหากลูกถูกบังคับหรือล่อหลอกให้นั่งกินเป็นชั่วโมง ลูกจะอมข้าว คายข้าว เล่นอาหาร หรือโยนของลงจากโต๊ะ จนทำให้การกินเป็นเรื่องเสียเวลา เสียสุขภาพจิต เสียสัมพันธภาพ และลูกจะไม่มีทางรู้ว่าหมดเวลากิน หมายถึงอะไร

 

ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกรับผิดชอบการกินเอง เราต้องมอบอำนาจนั้นให้เขาค่ะ ไม่บังคับลูกกิน ล่อหลอก เปิดการ์ตูน หรือคอยตามป้อน เพราะลูกจะเข้าใจว่า “หน้าที่กินข้าว” เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ไม่ใช่ของเขา ถ้าอยากฝึกให้ลูกรับผิดชอบกินเอง พ่อแม่ต้องทำอย่างไร ? มีสองอย่างเท่านั้น “กำหนดกติกาการกิน” และ “บังคับใช้กติกา” (อ่านช้า ๆ นะคะ บังคับใช้กติกา ไม่ใช่บังคับลูก)

 

กติกาการกิน

● กินในเวลาที่กำหนดพร้อมครอบครัว (ลูกจะมีความสุขกว่ากินคนเดียว) เช่น กินข้าว 6 โมงเย็นพร้อมพ่อแม่

● ใช้เวลาในการกินไม่เกิน 20 นาที เมื่อครบเวลาก็ต้องเก็บ (ลูกจะรู้จักคำว่าหมดเวลากิน)

● หากไม่กินอาหารหลัก อาหารว่างต้องงด รวมทั้งนม เพื่อให้ท้องรู้จัก “หิว”

 

เมื่อออกกติกาแล้ว พ่อแม่ก็บังคับใช้จริง โดยไม่โกรธ และไม่ขู่ลูก

 

บังคับใช้กติกา

● พ่อแม่ควรพูดกับลูกอย่างจริงจังและอ่อนโยน เช่น ...“แม่อยากให้ลูกกิน แต่ถ้าลูกจะลุกออกไป แม่จะเก็บเมื่อครบเวลานะ”...
● เมื่อครบเวลา ลูกไม่สนใจกิน พ่อแม่ก็เก็บจานจริง แต่ต้องมีท่าทีจริงจังแบบอ่อนโยนนะคะ เช่น ...“หมดเวลา แม่เก็บข้าวแล้วค่ะ”...
● หากลูกโวยวาย พ่อแม่ก็ต้องยืนยันว่า ...“ไม่ได้แล้ว เพราะหมดเวลา”... พ่อแม่ให้กำลังใจลูกได้ค่ะ บอกว่า ...“ลูกค่อยแก้ตัวใหม่ในมื้อหน้า”...
● หากลูกร้องขอขนมกินระหว่างมื้อ พ่อแม่ก็ต้องยืนยันว่า ...“ไม่ได้ เพราะเราคุยกันแล้ว”... โดยพูดแบบจริงจังและอ่อนโยนเหมือนเดิม

 

ในหลักการดังกล่าว หมอพบว่าเราจะทำสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับ...

 

✚ ตัวพ่อแม่เอง ✚

พ่อแม่หลายคนไม่กล้าทำ อาจเพราะจินตนาการไปเองว่า ลูกจะกินไม่ได้ไปเรื่อย ๆ จนขาดสารอาหารและผอมลงไปทุกที ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใคร ไม่กินไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้จักเรียนรู้ เพราะตามธรรมชาติ “ความหิว” จะเข้าเล่นงานร่างกายจนทำให้เด็กได้รับบทเรียน มื้อต่อไปจะอยากกิน จึงทำให้กินเองได้

 

 

หลายครอบครัวบอกว่า “ลูกไม่หิวเลย” แม้จะผ่านไป 2-3 มื้อแล้ว หมอพบว่า มักเกิดจากพ่อแม่ให้ลูกกินขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างมื้อ ทำให้ลูกไม่มีโอกาสหิวจริง ๆ กับอีกอย่างที่พบบ่อย คือ พ่อแม่ทำใจไม่ได้ ยังมีชักสีหน้า พูดขู่ลูกตอนจะเก็บจาน หรือบางคนตอนลูกกินก็ยังล่อหลอกลูกอยู่

 

ซึ่งจริง ๆ แล้ว พ่อแม่ควรทำตามที่หมอแนะนำ เพราะกติกาที่กำหนดขึ้นนั้น มีเป้าหมายให้ "เด็กเรียนรู้เพื่อรับผิดชอบตนเอง" ไม่ได้มีเป้าหมาย ให้เด็กต้องกินตามที่พ่อแม่ต้องการ ดังนั้นไม่ต้องไปขู่หรือล่อหลอกอีกแล้ว ปล่อยให้เด็กเรียนรู้จากการตัดสินใจของเขา หมดเวลาก็เก็บ เมื่อไม่กินหรือกินน้อย เด็กจะได้รู้จัก “หิว” จนต้องกินในมื้อต่อไปเอง ส่วนเป้าหมายที่อยากให้ลูกกินตามพ่อแม่ต้องการนั้น ส่วนใหญ่จะตามมาโดยอัตโนมัติ หากเป้าหมายแรกเกิดขึ้นได้ก่อนค่ะ

 

:: หมายเหตุ :: พ่อแม่ต้องจริงจังแบบไม่โกรธ ไม่เช่นนั้นเด็กที่ต่อต้านพ่อแม่มาก ๆ แม้ท้องหิวก็จะไม่ยอมกิน หรือถ้ากินก็กินไม่กี่คำแล้วก็ไป

 

✚ คนในบ้าน ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ✚

หลาย ๆ บ้านมีแม่ทำจริงอยู่คนเดียว มีคุณยายแอบให้ขนม หรืออาจเป็นคุณพ่อที่กลับมาบ้านแล้วคิดถึงลูก ก็เลยใจอ่อนให้ลูกลงจากโต๊ะอาหารมาเล่นไป กินไปได้ การทำเช่นนี้ นอกจากลูกไม่รู้จักรับผิดชอบตนเองแล้ว ยังทำให้แม่ปกครองลูกยากมากขึ้นด้วย 

 

✚ ตัวเด็ก ✚

เด็กจะเจริญอาหารได้ เมื่อได้เล่น ได้วิ่ง ได้ปีนป่าย ได้ออกกำลังกายจริง ๆ ไม่ใช่นั่ง ๆ นอน ๆ ดูการ์ตูน นั่งเล่นของเล่นหรือเดินห้างฯเท่านั้น ข้อนี้สำคัญมาก ๆ เด็กจะหิวง่ายขึ้น ถ้าได้ออกแรงจนเหนื่อยจริง ๆ (แถมร่างกายแข็งแรงด้วย)

 

✚ ทัศนคติที่ขัดขวางการกินเองของลูก ✚

เช่น บางบ้านคุณพ่อไม่ต้องการให้ลูกกินข้าวเลอะเทอะ, ไม่ชอบเห็นโต๊ะอาหารสกปรก หรือคุณแม่ที่เหนื่อยจากงานบ้านก็ไม่อยากเก็บกวาดเพิ่มอีก ความคิดแบบนี้จะสกัดกั้นการกินเองของลูก เพราะเด็กจะรับผิดชอบกินเองได้ ต้องผ่านการกินแบบเลอะเทอะมาก่อน 

ยอมให้ลูกฝึกกินเองเถอะค่ะ แม้ลูกจะมอมแมม แต่เขาก็ภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือตนเอง และยังได้เรียนรู้ด้วยว่า หากใช้ช้อนตักไม่ได้ ใช้มือเปล่าหยิบก็ได้ หรือเรียนรู้ว่าอาหารบางอย่างใช้ส้อมจิ้มง่ายกว่าใช้ช้อนตัก ซึ่งของแบบนี้ ถ้าเด็กไม่ทำเอง ไม่มีทางรู้หรอกว่าต้องแก้ปัญหายังไง หากคุณแม่เหนื่อยจริง ๆ ลองไปลดงานบ้านอื่นแทนมั้ย เช่น แทนที่จะซักรีดผ้าทุกวัน ก็เปลี่ยนเป็น 2 วันทำทีหนึ่ง เป็นต้น

 

หัวใจของการแก้ปัญหาลูกกินยาก คือ การฝึกลูกให้รับผิดชอบการกินของตนเอง ลูกจะกินเองได้ ไม่อมข้าว ไม่คายข้าว ไม่โยนของลงจากโต๊ะ ไม่เสียเวลาเป็นชั่วโมงวันละ 3 รอบ คุณแม่จะมีเวลาคุณภาพกับลูกมากขึ้น สัมพันธภาพจะดีขึ้น ลูกก็จะมีความสุขมากขึ้นด้วยนะคะ 

 

 

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง