1612
พัฒนาการทางภาษา ‘การได้ยินและการฟังเสียง' ในโลกของเด็กน้อย

พัฒนาการทางภาษา ‘การได้ยินและการฟังเสียง' ในโลกของเด็กน้อย

โพสต์เมื่อวันที่ : July 21, 2020

 

"การฟัง" เริ่มต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เสียงของพ่อแม่คือกุญแจ แต่เสียงของตัวเองคือเข็มทิศที่ลูกควรฟังให้ชัดที่สุด

 

การได้ยินเสียง เป็นความสามารถที่เด็กน้อยมีตั้งแต่เขาอยู่ในครรภ์มารดาเพียง 18 สัปดาห์ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า “แม่ที่ทำงานในสถานที่ที่มีเสียงดังติดต่อกันนานเกินไป เสียงนั้นอาจส่งผลกระทบต่อการได้ยินของลูกในครรภ์ได้” เมื่อเด็กน้อยลืมตาดูโลก แม้ยังไม่เข้าใจอะไรมาก แต่เขาก็รับรู้โลกผ่าน “เสียง” ได้หลากหลาย

 

ในช่วงที่เขายังพูดไม่ได้ เด็กจะสื่อสารผ่านการ ร้องไห้ การชี้ การหยิบจับ และภาษากายต่าง ๆ ผู้ใหญ่รอบตัวก็สื่อสารกับเขามากมาย โดยเฉพาะการ “บอกให้ทำ” และเมื่อเขาเริ่มพูดโต้ตอบ เริ่มเดินได้ สิ่งที่หลายบ้านพบคือ "เด็กน้อยไม่ยอมฟังสิ่งที่เราบอก"

 

 

📚 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาและการฟังของเด็ก

▶︎ ข้อเท็จจริงที่ 1 : เด็กยังแยกเสียงพูดจากเสียงรบกวนได้ไม่ดี

ทักษะนี้เรียกว่า Selective Hearing หรือ ‘การแยกแยะเสียงรบกวนออกจากเสียงพูด' ถ้ามีหลายเสียงในเวลาเดียวกัน เช่น คนหลายคนพูดพร้อมกัน หรือเสียงแทรกจากทีวี เด็กจะแยกเสียงที่ต้องฟังออกจากเสียงอื่นไม่ได้ ควรสื่อสารกับลูกในพื้นที่เงียบ และให้ผู้ใหญ่พูดทีละคน ด้วยทิศทางเดียวกัน

 

 

▶︎ ข้อเท็จจริงที่ 2 : ทารกสื่อสารได้ แม้ยังพูดไม่ได้

เสียง “อ้อแอ้” หรือ “babbling” คือภาษาทารก งานวิจัยพบว่า พ่อแม่ที่พยายามตอบสนองต่อการส่งเสียงเรียกของทารก พัฒนาการทางภาษาของทารกนั้นจะมีแนวโน้มดีกว่า พ่อแม่ที่ไม่ได้ตอบสนองต่อเสียงเรียก

 

 

▶︎ ข้อเท็จจริงที่ 3 : เด็กเล็กตอบสนองต่อเสียงสูงได้ดี

งานวิจัยพบว่า ทารกตอบสนองต่อเสียงแม่มากขึ้น เมื่อแม่ใช้ เสียงที่สูงกว่าปกติ เสียงสูงจึงเป็นเครื่องมือช่วยกระตุ้นพัฒนาการฟังและการพูดในเด็กช่วงแรกเริ่มได้ดี

 

 

▶︎ ข้อเท็จจริงที่ 4 : พัฒนาการ 5 ขั้น ก่อนเด็กจะเริ่ม "พูดสื่อสาร"

  • ขั้นที่ 1 กล้ามเนื้อปาก - ลิ้นแข็งแรง เช่น ไม่มีน้ำลายไหล เริ่มดูดจากหลอด เป่าฟองสบู่ได้
  • ขั้นที่ 2 เด็กช่วง 7 - 10 เดือน เริ่มเล่นเสียง “อู้ววว” “บา ๆ” “อ้าาา”
  • ขั้นที่ 3 เด็กอายุ 12 - 18 เดือน เริ่มพูดคำแรก เช่น “แม่” “พ่อ”
  • ขั้นที่ 4 เมื่อผ่านมาทั้ง 3 ขั้น เด็กเรียนรู้คำศัพท์พอแล้วเริ่มพูดวลี เช่น “หิวนม” จากวลี พูดเป็นประโยคได้ในที่สุด

 

เมื่อทราบข้อเท็จจริงเหล่านี้ ถ้าหากมีข้อที่ลูกของเราติดขัดควรปรึกษาแพทย์พัฒนาการและผู้เชี่ยวชาญ สิ่งที่เราสามารถพัฒนาเขาควบคู่ไปกับพัฒนาด้านอื่น ๆ คือ การพัฒนา ‘ทักษะการฟัง’ ของเขา ซึ่งมี 6 ข้อ ที่ช่วยส่งเสริมการฟังของเขาได้

 

 

การพัฒนา 'ทักษะการฟัง' ของลูก

❶. ต้นแบบที่ดี "ผู้ใหญ่ต้องเป็นผู้ฟังที่ดีเสียก่อน"

เราเองนี่แหละที่เคยชินกับการพูดมากกว่าการฟัง ดังนั้น ก่อนจะสอนเด็ก ๆ ให้ฟัง เราต้องเป็นผู้ฟังที่ดีเสียก่อน เมื่อลูกพูด ต้องฟังเขาจนจบ โดยไม่ทำกิจกรรมอื่นตรงหน้าเขา มองหน้าสบตาลูก และฟังเขาจริง ๆ ไม่ใช่ฟังเพราะเป็นหน้าที่ การที่ลูกจะพัฒนาทักษะการสื่อสารที่ดีขึ้นได้ คือเมื่อเราฟังอย่างตั้งใจ และพูด (บ่น) ให้น้อยลง

 

 

❷. ระดับเสียงและน้ำเสียงที่ใช้ ควรเหมาะสมกับสถานการณ์

เมื่อเราเล่นกับลูก เราสามารถใช้น้ำเสียงสูงและสนุกสนานได้ แต่เมื่อพูดเรื่องจริงจังกับเขา เราควรใช้เสียงระดับปกติ (ไม่ใช่ตะโกน) แต่หนักแน่น ไม่ใช่เสียงสูง (ไม่ปรี๊ด) เพื่อให้เด็กเรียนรู้ และแยกแยะความสำคัญของเนื้อหาที่เราพูดกับเขาได้อย่างชัดเจน

 

..."การสอนสั่งไม่ควรใช้ระดับเสียงที่ดัง และน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ แต่ควรใช้น้ำเสียงธรรมดา พูดในเวลาที่เด็กสงบลงแล้วและพร้อมฟังเราต่างหาก"...

 

 

❸. อ่านนิทานให้เขาฟัง

ข้อนี้สำคัญมาก กิจกรรมที่ส่งเสริมการฟังที่ดีที่สุดคือ ‘การฟังนิทาน’ เพราะเป็นการฝึกการฟังของเด็กตามความสนใจของเขา สมาธิที่จดจ่อเพื่อฟังตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง คือสิ่งที่ช่วยพัฒนาทักษะการฟังที่ดี

 

 

❹. พัฒนาเด็กให้สังเกตสิ่งรอบตัวและภาษากาย

เรามักเคยชินกับการต้อง ‘พูด’ เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสาร จนทำให้เราละเลยสัญญาณบางอย่าง เช่น แววตา สีหน้า ท่าทาง และสภาพแวดล้อม

 

‘ทักษะการฟัง’ จึงไม่ได้หมายถึงการฟังเสียงเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการฟังเสียงที่ไม่ได้ยินด้วยหูด้วย - นั่นคือเสียงภายในที่แสดงออกทางกาย เด็ก ๆ ที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเข้ากับผู้อื่นได้ดี มักมีทักษะการสังเกตคนรอบตัวที่ดี

 

 

❺. สถานที่สงบ ปราศจากสิ่งเร้าที่มากเกินไป

ในเด็กเล็ก การพาเขาไปในที่ที่มีเสียงดัง และสิ่งเร้าจากแสง สี เสียง ที่มากเกินไป อาจทำให้เขาไม่สามารถจัดการกับสิ่งเร้าได้ ส่งผลต่อสมาธิและการฟังของเขาอย่างมาก ดังนั้น สถานที่ที่เหมาะต่อการเรียนรู้ของเด็ก ควรเป็นสถานที่สงบ และไม่มีผู้คนหนาแน่นจนเกินไป เพื่อให้เขาได้ยินเสียงเรา และเสียงของเขาเอง

 

 

❻. ไม่ควรพูดตอนที่เขาโกรธหรือโมโหมาก ๆ

โดยเฉพาะเวลาเขาระเบิดอารมณ์ เพราะสมองที่สั่งการในขณะนั้นคือสมองส่วนอารมณ์ (emotional brain) ไม่ใช่สมองส่วนเหตุผล (rational brain) นอกจากเขาจะฟังไม่ได้ยินแล้ว ยังไม่สามารถคิดอย่างเป็นเหตุผลได้ สิ่งที่เราควรทำคือ อนุญาตให้เขาโกรธ (โดยไม่ทำร้ายตัวเอง ผู้อื่น หรือทำลายสิ่งของ) และรอให้เขาสงบเมื่อเขาพร้อม ให้มองตาเขา แล้วบอกเขาว่า “เราเข้าใจที่เขาโกรธ แต่...ไม่ควรทำ” หรือบอกในสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารกับเขา

 

 

แม้ว่าการฟังเสียงของพ่อแม่และผู้ใหญ่จะเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเด็กน้อย แต่เสียงหนึ่งที่เขาต้องไม่ลืมฟัง คือ ‘เสียงของเขาเอง’ เพราะเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะมีเสียงมากมายเข้ามาในชีวิตของเขา แต่ถ้าเขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรแล้ว เสียงเหล่านั้นจะไม่มีอิทธิพลเหนือเขาเลย

 

ติดตามข่าวสารและกิจกรรม Thai PBS Kids ได้ทาง Website | Facebook | Youtube | LINE Official

 

อ้างอิง

Smith, N. A., & Trainor, L. J. (2008). Infant-directed speech is modulated by infant feedback. Infancy, 13(4), 410-420.

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง